Part 1
"หาก แฟนๆ กำลังมองหา "ผู้ชายกินพืชและผู้ชายกินสัตว์" (ประมาณว่าเทวากับซาตานทำนองนั้น) ผมเป็นผู้ชายกินพืชตอนกลางวัน (ภาคเทวดา) และเป็นผู้ชายกินสัตว์ในตอนกลางคืน (ภาคซาตาน)" สำหรับเรื่องการนิยมทำศัลยกรรมในวงการบันเทิงของเกาหลี จางกึนซ็อกตอบว่า "พอมองดูตัวผมในอดีตแล้วรู้สึกเหมือนกำลังมองดูน้องชายของผมเอง"
"หาก แฟนๆ กำลังมองหา "ผู้ชายกินพืชและผู้ชายกินสัตว์" (ประมาณว่าเทวากับซาตานทำนองนั้น) ผมเป็นผู้ชายกินพืชตอนกลางวัน (ภาคเทวดา) และเป็นผู้ชายกินสัตว์ในตอนกลางคืน (ภาคซาตาน)" สำหรับเรื่องการนิยมทำศัลยกรรมในวงการบันเทิงของเกาหลี จางกึนซ็อกตอบว่า "พอมองดูตัวผมในอดีตแล้วรู้สึกเหมือนกำลังมองดูน้องชายของผมเอง"
Part 2
จาง กึนซ็อกเกิดที่โซล วันที่ 4 ส.ค. ปี 1987 ในตอนนั้นธุรกิจของคุณปู่ของเขากำลังรุ่งเรืองสุดๆ ทั้งครอบครัวจึงย้ายไปดานยางเพื่อขยายธุรกิจของครอบครัวจนกระทั่งจางกึนซ็อก อยู่ชั้นเกรด 5 เพื่อจะเข้าใจจางกึนซ็อกให้ดีขึ้น ผู้สื่อข่าวจึงไปที่ดานยางเพื่อหาข้อมูล เพื่อนบ้านเอ่ยถึงเขาว่า "ใบหน้ากลมๆ ของเขาน่ารักมาก เขามีเสียงแหลมๆ เล็กๆ น่ารัก พวกผู้ใหญ่ต่างก็รักเขา"
Part 3
ใน ตอนนั้นคุณปู่ของเขาทำธุรกิจฟาร์มปลา และคุณย่าก็มีหน้าที่เตรียมอาหาร คุณแม่ของจางกึนซ็อกก็จะช่วยคุณย่าทำอาหารด้วยหากมีเวลา งานโยนเหยื่อเลี้ยงปลาเป็นหน้าที่ของจางกึนซ็อก มือเล็กๆ ของเขากำเหยื่อแล้วก็โยนลงไปในบ่อ จางกึนซ็อกมีความสุขมากๆ เวลาที่เห็นปลากระโดดฮุบเหยื่อ (มิน่าล่ะแกชอบโยนขนมให้พวกชั้น เห็นชั้นเป็นปลารึไงยะ???)
Part 4
อดีต คนงานในโรงอาหารยังจำจางกึนซ็อกน้อยได้ "เราไม่เคยลืมภาพตอนที่จางกึนซ็อกขี่จักรยาน เขาเต็มไปด้วยพลัง หลังเลิกเรียนเขาชอบไปที่ฟาร์มปลา โดยไม่สนใจว่าจะมีลูกค้าอยู่ที่นั่นหรือไม่ ทำให้โดนพวกผู้ใหญ่ดุบ่อยๆ ว่าให้ไปรออยู่ข้างๆ ก่อน"
Part 5
ใกล้ๆ ถนนจะมีคลินิก เจ้าหน้าที่เล่าว่า "โดยทั่วไปเด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะขี้อาย ถ้าเราทักพวกเขา พวกเขาก็จะไปแอบหลังผู้ใหญ่แล้วตอบกลับมา หรือตอบมาแบบตะกุกตะกัก แต่จางกึนซ็อกไม่เป็นแบบนั้น เขามีความมั่นใจมากและจะทักทายว่า "สวัสดีครับ สบายดีนะครับ" เมื่อจางกึนซ็อกอยู่ใกล้ๆ มักจะมีแต่ความสุข เขาเป็นต้นตอของความสุขจริงๆ"
Part 6
ตอน ที่จางกึนซ็อกย้ายมาเข้าโรงเรียนประถมที่นี่ เขาโด่งดังมากในหมู่สาวๆ รุ่นเดียวกัน "เขาเป็นหนุ่มเมืองกรุงที่หล่อมาก ทุกวันผมจะถูกหวีไว้เรียบแปล้พร้อมใส่เจลอย่างดี แต่เขาไม่ได้วางท่ากับเด็กบ้านนอกอย่างพวกเรา เขาเป็นเพื่อนกับทุกคนอย่างรวดเร็ว เขาเล่นกีฬาเก่ง ตอนเขาวิ่งไม่ใช่แค่แขนขาของเขาเท่านั้นที่เคลื่อนไหว แม้แต่ใบหน้าก็สั่นด้วย (อ้วนน่ะสิ) แต่เขาวิ่งได้เร็วมาก" (จริงอ่ะ เห็นท่าเตะบอลเธอแล้วยังหวั่นใจ กลัวจะเตะไม่โดนลูก)
Part 7
เพื่อน บ้านพูดถึงคุณแม่ของจางกึนซ็อกว่า "เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ขนาดเห็นอยู่ไกลๆ ก็ยังสวย หลังจากได้พูดคุยกับเธอแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าเธอเป็นคุณแม่ที่น่ารักและอ่อนโยน เธอมีบุคลิกที่นุ่มนวล ทุกครั้งหลังจากแม่สามีเอ่ยชื่นชมหลาน (สุดที่รัก) แล้ว ท่านก็จะพูดถึงลูกสะใภ้ด้วยว่าทำอาหารได้อร่อยมากๆ หรือว่าเธอเป็นคนดีมากๆ ท่านมักเอ่ยชมเธอแบบนี้บ่อยๆ" (อันนี้คอนเฟิร์มค่ะว่าคุณแม่ของซ็อกน่ารักจริงๆ ดูภายนอกเหมือนจะดุ แต่ตัวจริงน่ารักค่ะ)
Part 8
เพื่อน ร่วมชั้นสมัยประถมของจางกึนซ็อกพากันอิจฉาที่เขามีคุณแม่แสนดีเช่นนี้ "เป็นคุณแม่ที่สวยและนำสมัยมากๆ จนถึงตอนนี้เรายังจำท่านได้เลย ระหว่างงานกีฬา แม่ของเขาหยิบกล่องข้าวออกมาจากกระเป๋า เหมือนที่เราเคยเห็นในทีวีเลย ในสายตาของเด็กๆ ตอนนั้นเราคิดว่า "เธอเป็นภรรยาของคนมีตังค์" นี่คือคุณแม่ที่แสนน่ารักของจางกึนซ็อก เขามักเรียก "ออมม่า" (แม่) แล้วก็โผเข้าไปในอ้อมแขนของท่าน แถมบางครั้งยังอ้อนให้แม่อุ้มเขาด้วย (อ้อนซะ...หมั่นไส้วุ้ย...) แม่ของเขาก็จะเรียกเขาว่า "กึนซ็อก...อา"
Part 9
ปี 1997 หลังจากละครเรื่องแรกของจางกึนซ็อก "Selling Happiness" ละครเรื่องต่อมาของเขาก็คือ"Hug" กำลังจะออกอากาศ เพื่อนๆ ในชั้นทุกคนให้กำลังใจเขา คุณครูยังประกาศด้วยว่า "วันนี้ละครที่จางกึนซ็อกแสดงจะออกอากาศ ทุกคนอย่าลืมดูกันด้วยนะ"
Part 10
จาง กึนซ็อกกับคุณแม่ของเขาต้องเดินทางประมาณ 2 ช.ม. กว่าจะไปถึงกองถ่าย และเดินทางกลับบ้านอีก 2 ช.ม. เวลาที่ทั้งคู่อยู่ในห้องของจางกึนซ็อก ประตูจะปิด เป็นเวลาของการทบทวนบท แม่ของเขาจะเป็นผู้แนะนำและบอกจางกึนซ็อกว่า "ลูกควรทำแบบนี้" หรือ "ความรู้สึกแบบนี้น่าจะดีกว่า" แบบนี้เป็นต้น
Part 11
ราวๆ ปี 1995-1999 ครอบครัวของจางกึนซ็อกต้องประสบปัญหาด้านการเงิน พ่อแม่ของเขายุ่งกับการทำงานและไม่มีเวลาพาเขาไปที่กองถ่ายในกรุงโซล "ระหว่างนี้จางกึนซ็อกต้องหอบกระเป๋านักเรียนอันแสนหนักด้วยตัวเอง และมีเงินติดตัวเพียงแค่ 1 หมื่นวอน เขาจะต้องขึ้นรถไฟแล้วไปต่อรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังกองถ่ายด้วยตัวเอง แม่ของเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกชายเหนื่อยขนาดนี้จึงตัดสินใจกลับมาอยู่ที่ โซล เพื่อให้ลูกชายได้เป็นนักแสดง เธอให้เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนการแสดงในโซล แล้วทั้ง 3 คนก็ย้ายกลับมาอยู่ที่โซล ถึงแม้ว่าสังคมเกาหลีจะถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณปู่ก็เป็นคนใจกว้าง เพื่อนของครอบครัวนี้เล่าว่า "คุณปู่เชื่อว่าถ้าหลานชายของท่านมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ เราก็ควรฝึกฝนทักษะด้านนี้ของเขาแทนที่จะให้เรียนเหมือนคนอื่นๆ ท่านถึงได้ยอมให้ทั้ง 3 คนกลับมาโซล"
Part 12
แม่ ของจางกึนซ็อกสอนเขาตั้งแต่เล็กๆ ว่า "ให้ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ" จางกึนซ็อกซึ่งก้าวเข้าสู่วงการเร็วกว่าคนอื่นๆ จึงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาต่อผู้อื่นเสมอไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร แต่เมื่อเขาเปิดใจให้กับผู้อื่นแบบเต็มร้อย คนอื่นกลับมองว่าเขาโง่ ครั้งหนึ่งตอนที่เขาอายุแค่ 10 ขวบ เขาไว้ใจคนอื่นมากเกินไปจึงโดนหักหลัง หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นซึมเศร้า เมื่อจางกึนซ็อกโตขึ้นมาเขาถึงได้ยอมเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นรับรู้ (ข้อมูลจากคนเขียนบทคนหนึ่ง)
Part 13
ขณะ ที่อาชีพการแสดงของเขากำลังเริ่มต้น จางกึนซ็อกตัดสินใจไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์หลังจากจบมัธยมต้น "เราได้ยินเขาพูดว่าชอบเรียนภาษามาตั้งแต่เด็กๆ แม่ของเขาก็เป็นห่วงที่จางกึนซ็อกจะต้องไปอยู่คนเดียว แต่เมื่อมองถึงผลระยะยาวแล้ว นี่ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง ท่านจึงไม่ได้คัดค้าน อาจเป็นเพราะจางกึนซ็อกต้องการไปจากเกาหลี ไปจากสังคมแคบๆ ที่เขาอยู่ในขณะนั้น"
Part 14
ที่ นิวซีแลนด์ จางกึนซ็อกได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงสั้นๆ ไม่มีใครจำเขาได้ว่าเขาเป็นดารา เขาไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองเขายังไง หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย จางกึนซ็อกตั้งใจจะไปอังกฤษเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เขาถูกชวนให้กลับมาเกาหลีเพื่อแสดงในเรื่อง "Nonstop4" ละครเรื่องนี้โด่งดังมากในเกาหลีและได้รับคำชมเชยมากมายในขณะนั้น จางกึนซ็อกจึงกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ สำหรับจางกึนซ็อกแล้วต่อให้กลับมาเริ่มเรียนใหม่หลังอายุ 20 ก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
Part 15
ความ เป็นจริงมักโหดร้ายเสมอ ก่อนหน้านี้เวลาคนได้ยินชื่อจางกึนซ็อก พวกเขาจะเดินผ่านเลยไปโดยไม่ใส่ใจ (หมอนี่เป็นใคร?) เวลาที่จางกึนซ็อกออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในวงการ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีใครมาขอลายเซ็น "ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกตอนนั้นได้ ความทรงจำเหล่านั้นยังฝังลึกอยู่ในใจของผม" การต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคครั้งแรกแบบนี้ในชีวิต มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้...
ที่มาจาก. http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2202405
No comments:
Post a Comment