Q: เริ่มคุยกันตั้งแต่ตอนเด็ก
อนที่คุณเล่นเรื่อง "Ladyes of the palace" ดีกว่า
JKS: ตอนนั้นผมอายุ
15 ปีแล้วครับ แต่ผมเป็นดาราตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มถ่ายแบบตั้งแต่ 6 ขวบ
ส่วนเรื่องแรกที่เล่นเป็นละครปี
1997 เรื่อง "Happiness of
sale"
Q: ยังพอจำตอนที่ถ่ายทำได้มั้ย
JKS: ใน "Ladies of the palace" เพราะเป็นวันที่หนาวมาก ผมใส่ชุดฮันบกตอนถ่ายทำแล้วก็หกล้ม ผมยัง
จำได้ดีเลยครับ
Q: คุณกลัวมั้ยที่มีแต่ผู้ใหญ่ในกองถ่าย
JKS: กลัวสิครับ
ผมร้องไห้เยอะเลย แต่รอบตัวผมมีแต่ผู้คนที่ใจดีกับผมมากๆ แต่เป็นเพราะผมยังเด็ก
ผมยังเอาแต่เล่นสนุกแล้วก็ร้องไห้ ผมไม่เคยมีพ่อแม่ไปที่กองถ่ายด้วยเลยสักครั้ง
Q: คุณต้องอยู่ลำพังหรอ?
JKS: แม่ของผมไม่ได้ตามไปที่กองถ่ายด้วย
ผมนึกขอบคุณที่แม่ทำแบบนั้น
ผมไม่ชอบเลยเวลาที่พวกพ่อแม่ต้องคอยมาเอาอกเอาใจพวกสต๊าฟ '' นี่ลูกของฉัน
ช่วยดูแลด้วยนะคะ" แม่อยากให้ผมแข็งแกร่ง
แน่นอนที่ตอนนั้นผมร้องไห้ แต่วันนี้ผมก็ผ่านบททดสอบมาได้แล้ว
Q: ในปี 2002
คุณแสดงใน "Ladies in palace" และ "The
Great Ambition" ตอนนั้นชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
JKS: นั่นเป็นตอนที่ผมเริ่มมีผู้จัดการ
ผมแสดงในโฆษณาโทรศัพท์มือถือ ผู้คนเริ่มู้จักผมมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปครับ
Q:
หลังจากนั้นคุณก็แสดงซิตคอมเรื่อง "Orange "?
JKS: ที่จริง "Orange " ถ่ายทำก่อน "Great
Ambition" นะครับ ความทรงจำของผมก็คือมันร้อน
เป็นการถ่ายทำช่วงหน้าร้อน มีฉากว่ายน้ำเยอะเลย ตอนถ่ายทำก็สนุกดีครับ
เราใชเวลาถ่ายทำทั้งหมด 3 เดือน
ผมไม่มีความทรงจำอะไรกับมันมากนัก นั่นเป็นตอนที่ผมอายุ 16
ปีต่อมาผมก็ไปเรียนต่อต่างประเทศครับ
Q: คุณไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์?
JKS: ใช่ครับ
ก่อนจบมัธยมต้น แม่พูดกับผมว่า " ถ้าไม่เรียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เรียนเมื่อไหร่" แต่ตอนนั้นมันยากมากที่ผมจะไปเรียนหนังสือตามปกติ แม่บอกว่า "พอลูกพ้นวัยเรียน ตอนนั้นลูกจะอยากกลับมาเรียนอีก" ผมกับแม่ก็เลยไปนิวซีแลนด์ด้วยกัน
Q: แม่ของคุณคงพูดภาษาอังกฤษได้?
JKS: ไม่เลยครับ
แม่กับผมต้องไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน ช่วงแรกเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
ชีวิตในต่างประเทศไม่ใช่ง่ายๆ แม่เป็นผู้หญิงที่น่านับถือมากครับ
Q: ชีวิตในนิวซีแลนด์เป็นยังไงบ้าง?
JKS: ผมไม่รู้สึกกลัว
ต่อให้ยืนอยู่ต่อหน้าชาวต่างชาติ คนส่วนใหญ่จะกลัว แต่ผมไม่รู้สึกกลัว
ผมได้ความมั่นใจมาจากที่นั่นครับ
Q: หลังจากเรียนจบ
คุณก็กลับมาแสดงใน "Nonstop 4" เด็กอายุ 17
ที่ต้องมาแสดงเป็นนักศึกษาแพทย์
ได้ยินว่าคุณเป็นคนสร้างบุคลิกของตัวละครนี้ขึ้นมาเอง
JKS: ตอนที่ผมได้พบกับผู้กำกับ
มบอกเขาว่า " ผมอยากเล่นเป็นนักศึกษาแพทย์"
Nonstop 4" เป็นซิตคอมเรื่องราวต้องดำเนินไปตลอดเวลา
แต่ที่สำคัญก็คือต้องทำให้ผู้ชมหัวเราะ
Q: แล้วคุณก็มาแสดงเรื่อง
"Lovers in prague "
เป็นเด็กมัธยม ซึ่งเป็นลูกชายประธานาธิบดี?
JKS: ผมอยากแสดงภาพที่แตกต่างจาก
"Nonstop 4" ที่ผมจำได้ก็คือตอนที่ถ่ายทำเป็นเวลาเดียวกับการประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย
(แอดมิชชั่น) ใจผมก็คิดอยู่แต่ว่า ผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ "Lovers
in prague "
เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายก่อนที่ผมจะอายุ 20 ปีครับ (คนเกาหลีถือว่า
อายุครบ 20 ปีเป็นผู้ใหญ่)
Q: เกิดอะไรขึ้นระหว่างถ่ายทำ
"Do Re Mi Fa So La Ti Do "?
JKS: บอกตามตรงนะครับ
ทั้ง "Do Re Mi Fa So La Ti Do " และ "Baby and I" ไม่ใช่งานที่ผมสมัครใจทำ
ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ (หัวเราะ) แต่นั่นคือความจริงครับ
Q: คุณปฏิเสธไปไม่ได้หรอ?
JKS: เพราะทางบริษัท
(ตอนนั้น ซอกยังไม่ได้อยู่ในสังกัดบริษัทอื่น ยังไม่ได้เปิดบริษัทเองนะคะ)
ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว จึงไม่มีทางบอกยกเลิกได้ครับ ผมไม่ชอบทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบและรู้สึกว่าไม่อยากทำ
นั่นเป็นนิสัยของผม ผมไม่ใช่คนเผด็จการหรือว่าเอาแต่ใจ
แต่ผมจะต้องมีใจให้กับบทนั้นด้วย ไม่งั้นผมจะไม่แน่ใจเลยว่าผลงานมันจะออกมาดี
พอเสร็จงานหนึ่ง พวกเชาก็ส่งงานชิ้นต่อมาให้ผมทำเลยทั้งๆ ที่ผมยังเหนื่อยอยู่ นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกเครียด
(เข้าใจเหตุผลที่ซอกเปิดบริษัทตัวเองแล้วใช่มั้ยคะ)
Q: การถ่ายทำเป็นไปด้วยดีมั้ย?
JKS: "Do Re Mi Fa So La
Ti Do " มีเหตุเกิดขึ้นตลอดเวลาครับ
ถ่ายไปได้สักครึ่งทาง คนที่ลงทุนก็ขอหยุดหนังเลยต้องหยุดถ่ายไปด้วย ผมก็เลยรับเล่น
"Hwang Jin Yi" , "Hong Gil Dong" และ "Happy
life" แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเราก็ได้รับโทรศัพท์บอกว่า "Do
Re Mi Fa So La Ti Do " จะถ่ายต่อละนะ ซึ่งมันผ่านมา 2 ปีแล้ว "ไม่ว่ายังไงเราต้องถ่ายต่อให้เสร็จ"
คำถามก็คือ "ทำไม" แต่มันเป็นเรื่องปกติในเกาหลีว่าคุณต้องยอมรับมันแล้วก็ถ่ายต่อให้เสร็จ
โดยไม่ได้รับคำตอบว่าเพราะอะไร
Q: เรื่องราวมันน่าสนใจมากหรือว่ามความลับอะไรซ่อนอยู่?
JKS: ดูจากบทแล้ว มันก็ไมได้แย่อะไรมากมาย แต่ก็เหมือนกับการสร้างบ้านละครับ
ต่อให้เตรียมการมาดึแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าบ้านจะออกมาดี ละครหรือ
หนังก็ใช้ปรัชญาเดียวกันนั่นแหละครับ ไม่ใช่แค่บทดีอย่างเดียว นักแสดง ผู้กำกับ
ตากล้อง ทุกอย่างต้องประสานกันเป็นอย่างดี ผลงานถึงจะออกมาดี ผมคิดว่า
ผมต้องปกป้องตัวเองให้ดี (เรียกว่าเอาตัวรอดว่างั้นเถอะ) ไม่ว่าผมจะไม่เต็มใจทำงานนี้แค่ไหน
แต่ผมก็ต้องแสดงให้เต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้วชื่อของผมต้องไปปรากฏอยู่บนนั้น
พอคิดแบบนี้แล้ ผมพบว่ามันน่าสมเพชนะ
Q: เรื่องต่อไปก็คือ
"One missed call'' งานนี้คุณได้พิจารณาบทก่อนรับงานหรือเปล่า?
JKS: AHH HAHA! ตอนนั้นผมอายุ
19 เกือบจะ 20 แล้ว ผมได้รับโทรศัพท์ชวนให้ไปออดิชั่น
ตอนนั้นผมไม่ได้รับงานอะไรไว้ จึงเป็นงานที่ผมรับไว้เพราะมีโอกาสไปออดิชั่น
Q: ตอนนี้คุณยังคิดติดต่อกับ
มากิ โฮริคิตะ และ เมอิสะ คุโรก อยู่มั้ย?
JKS: เปล่าครับ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
ที่จริงผมไม่ใช่คนประเภทที่ชอบแลกเบอร์โทรกับดาราที่ร่วมงานด้วย
ทำแบบนั้นจะทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกันเกินไป ต่อให้ไม่ต้องแลกเบอร์โทร
ดาราก็ยังสามารถแสดงด้วยกันได้ดี และยังให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย
ถ้าหากมีการไปดื่มกินกันเป็นส่วนตัว มันจะทำให้ผมไม่อาจรักษาระยะห่างไว้ได้
ผมจึงไม่ค่อยมีเพื่อนดาราที่เป็นผู้หญิงมากนัก อ๊ะ.....นอกจากคิมฮ๊ชอลครับ
(หัวเราะ)
Q: มากิ โฮริคิตะ
และเมอิสะ คุโรกิ ดังมากเลยนะในตอนนี้
JKS: งานนี้ก็เหมือน
"Do Re Mi Fa So La Ti Do " สำหรับผมครับ (หัวเราะ)
Q: มีความเป็นไปได้มั้ยที่คุณจะทำงานในญี่ปุ่นในอนาคต?
JKS: แน่นอนครับ
ผมจะไม่ปฎิเสธแน่นอน สิ่งสำคัญเวลาเลือกงานก็คือบทครับ และสิ่งที่สำคัญพอๆ กับบทก็คือ
ความรู้สึก "ฉันอยากเล่นบทนี้" หากผมถูกใจงานชิ้นนั้นต่อให้เป็นคอเมดี้ ผมจะรับเล่นทันทีครับ
ผมก็ได้ยินมาว่า ผมเป็นแบบที่คนญี่ปุ่นชอบ ถ้างั้นทำไมผมจะเป็น เบยงจุน
ไม่ได้ละครับ (หัวเราะอีกแล้ว)
Q: เบยงจุน คือ
เป้าหมายของคุณงั้นหรือ? พวกคุณคนละสไตล์เลยนะ
JKS: เปล่าครับ
ผมไม่ได้อยากเป็นเบยงจุน เอ่อ....ผมพูดแบบนี้มันจะฟังแปลกๆ ไปหน่อยมั้ย
ผมยอมรับนะครับว่า เบยงจุนน่ะดีจริง ผมแค่อยากให้แฟนๆ
ยอมารับผมที่ความสามารถของผมมากกว่าครับ
Q: เมื่อเปรียบเทียบกับดาราเกาหลีคนอื่นแล้ว
รูปร่างของกึนซอกถือว่าบอบบาง เคยคิดจะเสริมกล้ามบ้างมั้ย?
JKS: แบบนี้ผมจะสามารถสวมเสื้อผ้าแฟชั่นแบบที่ผมชอบได้
สำหรับรูปร่างแล้ว นักแสดงแต่ละคนก็มีแนวทางของตัวเองแตกต่างกันไป
สำหรับผมไม่เคยคิดจะเสริมกล้าม เพราะผมไม่ชอบออกกำลังกาย
เพราะเตรียมตัวถ่ายทำหนัง "You are my pet" และเพื่อให้กับบทบาท
ผมจึงต้องเริ่มออกกำลังกายบ้าง เน้นที่การเต้นบัลเล่ต์เป็นหลัก
แล้วก็มีจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน
ผมไม่กลัวหรอกนะครับที่จะมีกล้าม!
ในที่สุดจางกึนซอก
ก็เจองานที่ถูกใจในปี 2006 "Hwang
Jin Yi" ในละครเขาแสดงเป็น คิมอึนโฮ รักแรกของ ฮวางจินยี่ ที่ฮาจีวอนแสดง
ทั้งสองคนรักกันแต่ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้ต้องจบด้วยโศกนาฎกรรม
ในตอนนั้นชาวเน็ตต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป
บ้างก็เป็นห่วงเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ของฮาจีวอนกับเขา
มีเสียงวิจารณ์เรื่องฝีมือการแสดงของเขาว่าอาจมีไม่มากพอ
Q: คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อบทของคุณ?
JKS: สำหรับผมแล้ว "นี่ไม่ใช่กำแพงที่กั้นขวางไม่ให้ผมข้ามไป" "ทำไมถึงเอาจางกึนซอกมาประกบคู่กับฮาจีวอน?" สำหรับความคิดนี้ของคนอื่น ผมคิดว่า "อยากพูดอะไรก็เชิญ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเองว่าคุณคิดผิด ผมจะทำให้พวกคุณเห็นเอง!"
เมื่อเปรียบเทียบกับตอนนี้
ตอนนั้นผมยังเด็กแล้วก็บ้า แต่เป็นเพราะความมุ่งมั้นนี้
ผมจึงตั้งใจกับบทอึนโฮเป็นพิเศษ
Q: คุณเข้าถึงจิตใจของอึนโฮได้อย่างไร?
JKS: ที่จริงตอนนั้นผมเพิ่งเลิกกับแฟนซึ่งเป็นคนที่ผมรักมาก คนที่ขอเลิกคือเธอ และผมไม่เคยคิดอยากเลิกกับเธอจึงเฝ้าแต่ขอโทษเธอ
แต่เธอก็ยังขอเลิกทั้งๆ ที่ผมทำทุกอย่างแล้ว
ผมไปหาเธอที่บ้าน ไปรอเธอ
แต่ได้เพียงคำพูดที่ว่า "อย่ารอฉันเลย" กลับมา ผมเขียนจดหมายไปหาเธอทุกวัน เธอตอบมาแค่เพียงว่า " เราหยุดแค่นี้เถอะ" สาเหตุก็คือ
ผมบังเอิญพลั้งปากท้าเลิกกับเธอไปตอนที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เป็นเพราะผมดื้อรั้นเกินไป ผมเฝ้าแต่คิดว่าขอให้ผมแต่ได้อยุ่กับเธอ ผมรักเธอมาก ผมอยู่โดยขาดเธอไม่ได้
แต่เธอก็ยังทิ้งผมไป ผมเจ็บมากจนออกไปไหนมาไหนไม่ได้เป็นเดือน กินอะไรก็ไม่ลง เอาแต่หมกตัวอยู่ที่บ้าน หมดแรงจูงใจ
หมดกำลังใจที่จะทำอะไรทั้งนั้น
น้ำหนักผมลดลงไปเยอะเลย ผมผอมมากๆ ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มากๆ
แล้วผมก็ได้รับบทเรื่อง "ฮวางจินยี่"
Q: คุณยังเจ็บอยู่มั้ยเมื่อนึกถึงเธอระหว่างที่ถ่ายทำ?
JKS: ตอนที่ผมแสดงเป็น
อึนโฮ ผมไม่เป็นครับ แต่เมื่อผมกลายเป็นอึนโฮ ความรู้สึกนั้นก็กลับมา
ตอนนั้นเป็นเพราะใจของผมเจ็บผมถึงร้องไห้ออกมาได้ ผมพยายามอ่านบทอยู่ในรถ
แต่จบลงด้วยการร้องไห้ออกมา
บางครั้งผมก็เห็นใบหน้าของพี่จีวอนเป็นเธอ
ผมยังอยากทำอะไรให้เธออีกมากแต่ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว (เป็นความรู้สึกเดียวกับ
อึนโฮก่อนตาย) นี่ทำให้ความรู้สึกของผมกับ อึนโฮเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ใช่แค่ตอนแสดงเท่านั้นนะครับ แม้แต่ตอนที่ผมกลับมาเป็นตัวเอง
ผมก็ยังรู้สึกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกนั่นอยู่อีกพักใหญ่ๆ
Q: ถึงจะเจ็บปวดแต่ก็ต้องแสดง.....
JKS: มันทรมานมากเลยครับ
แต่ความเจ็บปวดนั้นช่วยให้ผมแสดงได้ดีขึ้น
Q: ฉากขอแต่งงานนั่นโรแมนติคมาก
คุณก็เป็นคนโรแมนติคด้วยรึเปล่า?
JKS: ที่จริงผมเองเป็นคนที่ชอบสร้างบรรยากาศโรแมนติค
ผมจะเล่าให้ฟัง ผมเคยปล่อยลูกโป่งให้ลอยขึ้นในอากาศ ตอนที่เปิดท้ายรถออก
โดยมีป้ายผู้ติดไว้ซึ่งเขียนไว้ว่า "ผมรักคุณ" ผมเคยเขียนจดหมายเป็นไดอารี่ตลอด
3 เดือนแล้วก็ส่งเป็นของขวัญวันครบรอบให้กับเธอ
แต่ที่โรแมนติคที่สุดที่ผมเคยทำก็คือเช่าลีมูซีนในวันครบรอบของเรา
แล้วก็พาเธอนั่งชมเมืองไปรอบๆ
Q: ลีมูซีน?
มันแพงมากเลยนะ
JKS: มันไม่แพงอย่างที่คิดหรอกครับ
(คือมีคนแปลอีกเวอร์ชั่นออกมาว่า 2 แสน เลยคิดว่าน่าจะสมเหตุสมผลกว่า 20
ล้านมันน่าตกใจไปหน่อย) ผมต้องจ่ายไป 2 แสนวอน ไม่ใช่แค่ค่าเช่ารถนะครับ
แต่ค่าจ้างคนขับด้วย หลังจากเช่ารถมา 2 ชั่วโมง
เราก็ไปที่แม่น้ำฮันแล้วก็ดื่มไวน์แดงในรถด้วยกัน
Q: คุณชอบเห็นตัวเองเป็นคนโรแมนติคแบบนี้มั้ย
หรือว่าชอบที่ได้เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
JKS: เอ่อ ผมชอบตัวเองเวลาที่ได้วางแผนทำอะไรที่แปลกๆ
ออกไป เพราะทำเพื่อแฟนของผม
ผมจึงทุ่มเทเต็มที่และภูมิใจกับมัน
นอกจากนั้นผมว่ามันเจ๋งมากที่เราได้ทำอะไรเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าผมชอบ
เธอจริงๆไม่ใช่พูดแต่ว่า "ผมรักคุณ" เท่านั้น
Q: ยังมีอย่างอื่นที่คุณอยากลองทำอีกมั้ย
JKS: เพราะผมเป็นนักแสดง
แล้วผมก็ชอบตัดต่อวีดีโอเองมากๆ
ผมอยากจะเหมาโรงหนังแล้วก็เล่นวีดีโอที่ผมตัดต่อเองให้เราดูด้วยกัน
นั่งกินป๊อปคอร์นกันระหว่างที่ดูวีดีโอ ต้องน่าตื่นเต้นมากแน่ๆ
แต่การทำแบบนั้นต้องใช้เงินเยอะแน่ๆ เอ่อ....ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นครับ (หัวเราะ)
Q: พอมองย้อนกลับไป
"Hwang Jin Yi" มีผลอย่างไรต่อจางกึนซอกบ้าง
JKS: "Hwang Jin Yi" เป็นก้าวแรกของผมสู่ความเป็นนักแสดงที่แท้จริง ผมฝันอยากเป็นนักแสดง
และหลังจากแสดงเรื่องนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจว่านักแสดงจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง
เพราะผมมีประสบการณ์ความรักด้วยตัวเอง "Hwang Jin Yi" จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนอื่นแต่เป็นเรื่องราวของผมจริงๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้ประสบการณ์จริงในการแสดง
จากนั้นมามุมมองของผมในเรื่องต่างๆ ก็เปลี่ยนไป
จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่ว่าผมจะไปไหนจะมีผู้จัดการไปด้วยเสมอ พอผมบ่นว่าหิว
ก็จะมีคนเตรียมอาหารมาให้ผม ตอนนี้ผมอยากทำอะไรด้วยตัวเอง
เพราะว่าผมเป็นคนที่ใช้
ชีวิตอย่างสุขสบาย (มีคนทำโน่นทำนี่ให้ตลอดเวลา)
ผมจะมีหน้าไปพูดถึงฝีมือการแสดงได้ยังไง ถ้าผมไม่เคยใช้ประสบการณ์จริงในการแสดงเลย
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการแค่อ่านตามบที่เขาเขียนให้
เมื่อเร็วๆ
นี้ผมจัดงานที่มหาวิทยาลัยฮันยาง Lounge H
ผมติดต่อสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง
ผมเขียนโครงการเพื่อนำเสนอขออนุมัติด้วยตัวเอง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานผมทำด้วยตัวเองทั้งหมด
การได้ทำแบบนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ผู้จัดการที่คอยใช้ชีวิตแทนผม
ไม่ใช่พ่อแม่ที่คอยปิดม่านแล้วซ่อนผมไว้ตรงไหนสักแห่ง
แต่เป็นตัวผมเองที่ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง และได้รับประสบการณ์จากตรงนั้น
และเอาชนะความท้าทายใหม่ๆ ด้วยตัวเอง นี่จะช่วยผมได้ในอนาคตในวงการบันเทิง
Q: คุณได้รับประสบการณ์สำคัญจาก
"Hwang Jin Yi"
JKS: ใช่ครับ
ผมได้เข้าใจว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะต้องมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง
ผมจุงไม่ค่อยชอบผู้จัดการนัก เพราะพวกเค้าคอยทำอะไรต่างๆ แทนผม
ผมอยากทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง ยกเว้นการสัมภาษณ์วันนี้นะครับ
Q: หนังเรื่อง "Happy
life" ซึ่งต่อจาก "Hwang Jin Yi" ก็ทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรมากมาย เท่าที่จำได้คุณเคยพูดว่า "นี่เป็นจุดพลิกผันในชีวิตของผม"
JKS: ตอนที่ผม่ถ่ายทำ
"Hwang Jin Yi" ผมรู้สึกและคิดว่า "ผู้จัดการจะมาใช้ชีวิตแทนผมไม่ได้" บรรดารุ่นพี่ที่แสดงในหนังเรื่องนี้ก็รู้เช่นกัน
การได้เห็นพวกเราเดินออกมาจากบ้าน นั่งลงหน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วก็พูดคุยกันจนถึงตี
4 ทำให้ผมคิดว่า " ผมก็อย่ากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง" แต่ถ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่แฟนๆ
และคนรอบตัวผมต้องการ ผมก็คงไม่ต่างอะไรกับนกน้อยในกรองทอง
ซึ่งผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ผมอยากเป็นนกที่สามารถบินออกจากกรงไปไหนๆ ได้
ไม่ใช่ถูกกักขังไว้ข้างใน
Q: ในเรื่อง “Hong
Gil Dong” คุณแสดงเป็นคนที่สะสมความแค้น ลีชางฮวี คุณเคยพูดว่า “มันเป็นช่วงเวลาของไอดอล” (หัวเราะ)
JKS: เพราะไม่ใช่แค่ถ่ายเรื่อง
“Baby and I” ผมยังมีงานโฆษณาอีก 7 ชิ้นมันเหนื่อยมากๆ
ครับแต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมก็ต้อแสดงเป็นชางฮวี
Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างตอนรับบทชางฮวี?
JKS: อารมณ์ของละครคือความโกรธเกรี้ยว
แต่ก็น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวผมที่แสดงเป็นชวางฮวีที่รู้สึกว่าบทนี้ช่างน่ากลัว
แต่บรรยากาศของละครทั้งเรื่องดูน่ากลัว จากที่ผมได้พูดคุยกับพี่จีฮวานและนักแสดงคนอื่นๆ
เรารู้สึกแบบเดียวกัน แค่ตอนถ่ายทำก็สาหัสไม่รู้จบแล้วครับ
การถ่ายทาส่วนใหญ่อยู่แถวภูเขาซึ่งหนาวมากๆ
ความรู้สึกของผมกับความหนาวก็คือผมเกลียดมันมาก
แถมเราต้องออกจากโซลแล้วก็กลับไปกลับมาแบบนี้ทุก 2 สัปดาห์ พอตารางงานเริ่มกระชั้น
คุณต้องรีบกลับไปที่กองถ่ายหลังจากกลับบ้านมาอาบน้ำอาบท่า
ถ้าขืนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอารมณ์จะยิ่งมีแต่ย่ำแย่ลง ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะครับ
สต๊าฟคนอื่นๆ กับนักแสดงก็เริ่มจะทนไม่ไหวกันทุกคนบรรยากาศก็เลยยิ่งแย่
ผมถ่ายทำเรื่องนี้จนจบในสภาพแบบนั้นละครับ
Q: ต่อไปก็คือ “Beethoven
Virus”
JKS: หลังจาก “Hong
Gil Dong” กับ “Baby and I” ผมก็ไปพักผ่อนที่ยุโรปราวๆ
2 เดือนก่อนไปผมบอกกับผู้จัดการว่า “ถ้าขืนส่งบทให้ผมระหว่างที่ผมพักผ่อน
ผมจะฉีกทิ้งแล้วเผาไม่ให้เหลือซาก” ผมไม่อยากคุยเรื่องงานในตอนนั้น
อย่างที่ผมบอกไปแหละครับ ตารางงานมันแน่นมากๆ ร่างกายผมก็เริ่มหมดแรงลงทุกที
เหนื่อยทั้งกายและใจเลย “ ผมไม่รู้ว่าจะกลับมาเกาหลีอีกมั้ย
อย่ามาสนใจผมเลยจะดีกว่า” ผมจำได้ว่าพูดแบบนั้นออกไป.....(โหมดงอแง)
แต่ผู้จัดการของผมก็ยังส่งบทไปให้ผมทางอีเมลล์
(เออ.....มันฉีกไม่ได้....ฮ่า ฮ่า)
ตอนนั้นผมพักผ่อนนอนอยู่ที่เยอรมันผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะเปิดดูก่อนลบทิ้งดีมั้ย “บางทีนี่อาจเป็นเวลาที่ผมจะตัดสินใจว่าควรรับงานดีมั้ย”
ผมก็เลยเปิดอีเมลล์ดูแล้วก็อ่านบทโดยไม่ได้ลบมันทิ้ง พออ่านได้แค่ 2
ตอนผมก็ตกหลุมรักมันทันที ผมจึงโทรไปที่บริษัทแล้วบอกว่า “ผมจะเล่นบทนี้”
Q:
ส่วนไหนที่โดนใจคุณ
JKS: เพลงในเรื่องบรรเลงโดยวงออเคสตร้า
งานศิลปะชิ้นนี้เป็นผลงานของลีแจคยู แล้วยังมีรุ่นพี่คิมมยองมินเล่นด้วย
ผมรู้ว่าจะได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะจากรุ่นพี่ แถมยังมีรุ่นพี่ลีซุนแจด้วย
งานนี้สำคัญสำหรับผมมาก
Q: คุณมีความประทับใจอะไรบ้างกับคุณคิมมยองมิน
JKS: เขาเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบแต่ไม่ได้หัรั้นขนาดคังกึนวูนะครับ
(ตัวละครที่คิมมยองมินเล่นในเรื่อง)
ผมเป็นคนสุดท้ายที่ยืนยันการเข้าร่วมแสดงเรื่องนี้ เพราะไม่อยากทำให้รุ่นพี่ผิดหวัง
ผมจึงพยายามเต็มที่
หากผมไม่หัดเล่นทรัมเป็ต คงต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ
งานนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างที่ถ่ายทำ
ระหว่างถ่ายทำแม้จะแทบไม่มีเวลานอน แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าทนไม่ได้แต่อย่างใด
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะครับ ทุกคนก็มีความสุขระหว่างถ่ายทำเรื่องนี้
ซึ่งผมพบว่ามันแปลกมากๆ
Q: ทุกคนดูเข้ากันได้ดีมาก
JKS: บางทีอาจเป็นเพราะเราใช้ดนตรีเป้นธีมของเรื่อง
ระหว่างที่แสดงเราอยู่กัดนตรีและผูกพันกัน ตัวโน้ตที่แตกต่างกันค่อยๆ
รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้จะเป็นแค่การถ่ายทำละคร แต่พองานนี้จบลง
ทุกคนต่างประทับใจและลาจากกันด้วยน้ำตา
Q: ไม่เสียใจนะที่ปฏิเสธ
“Boys Over Flower” เพื่อเล่นเรื่อง “Beethoven Virus”
JKS: ผมคิดว่าเลือกถูกแล้วครับ
สิ่งที่ผมจะได้จาก “Boys Over Flower” ผมก็ได้จาก “You’re
Beautiful” นี่ไงครับ
Q: บทของ “You’re
Beautiful” เขียนโดยพี่น้องฮงจาก “Hong Gil Dong” ?
JKS: ผมได้ยินมาว่าพวกเธอเขียนบทระหว่างที่นึกถึงผม
หลังจากอ่านบทแล้ว ถึงแม้จะเป็นแค่บทร่าง แต่ใจของผมเห็นภาพของมันชัดเจนเลย
ผมคิดว่าผมสามารถนำเสนอภาพความน่ารักสดใสในวัย 23
ของผมผ่านละครเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ผมจึงตกลงเล่นทันที
แต่ละครเรื่องนี้ก็เจอปัญหาเยอะครับ ระหว่าที่ถ่ายทำ
เราเปลี่ยนบริษัทที่สร้างหลายหนเลย ผู้กำกับทั้ง 2 คนก็เป็นห่วงว่า “ถ้าเกิดกึนซอกขอถอนตัวอีกคนล่ะ” ผมบอกไปว่า “ไม่มีปัญหาครับ หลังจากอ่านบทแล้ ผมวิเคราะห์ตัวละครนี้ด้วยตัวเอง
ติดต่อผมมาได้เลยหากได้วันที่ถ่ายทำแน่นอนแล้ว”
สุดท้ายเราก็ได้เริ่มถ่ายทำในเดือน ส.ค.
Q: หลายคนพูดว่าฮวางแทคยองมีความคล้ายกับคังกึนวูที่คิมมยองมินแสดงไว้ใน
“Beethoven Virus”
JKS: หลังจากได้ยินแบบนี้
ผมคงโกหกละครับหากบอกว่าผมไม่กดดันเลย เพราะแทคยองเป็นคนที่ยึดตัวเองใหญ่
แต่ผมไม่เคยใช้คังกึนวูเป็นต้นแบบเลยนะ ผมใช้บรรณาธิการใน “The Devil wears
prada” มิแรนด้า (แสดงโดย เมอรีล สตรีฟ) เป็นต้นแบบครับ
Q: คุณดู “You’re
BBeautiful” จบหรือยัง?
JKS: ครับ
วันที่ผมได้ DVD มาผมได้ยืนยันทางโทรศัพท์ไปว่าไม่มีส่วนไหนที่ผมรู้สึกว่าควรเสียใจ
เป็นเพราะคิวที่เร่งมากๆ ทำให้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง พอเราถ่ายทำเสร็จในช่วงเช้า
ช่วงบ่ายก็ยังมีรอถ่ายทำต่อ แต่บทยังไม่มาถึงมือเลย ทั้งนักแสดงและสต๊าฟต้องเตรียมตัวให้พร้อมรอบทที่จะมาถึง
Q: คิดว่ายังไงบ้างที่ต้องออกอากาศพร้อม
“Iris”?
JKS: ผมไม่รู้สึกว่าพลาดอะไรไปเพราะออกอากาศพร้อมกันครับ
เพราะผมกลับมาดู “Iris” ที่หลังได้
ผมจึงไม่รู้สึกว่าต้องต่อสู้ช่วงชิงอะไร
Q: นิสัยของคุณเหมือนแทคยองมั้ย?
JKS: อืม.......ผมจะพูดยังไงดี เวลาผมทำงาน ผมจะทนรับความผิดพลาดไม่ค่อยได้
และผมก็เป็นคนเรื่องมากจริงๆ ด้วย แต่หลังจากเสร็จงานแล้ว
ผมจะขอบคุณผู้จัดการและสต๊าฟสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ
ผมอาจไม่ถึงกับต้องการให้ทุกอย่างที่ต้องการสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ผมจึงดึงดันจนถึงที่สุดพอผมเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง ผมก็จะเป็นแบบนั้นอีก
นั่นคือนิสัยของผมครับ
Q: สรุปแล้วฮวางแทคยองคืออะไรสำหรับคุณ?
JKS: คนที่ทำให้ชีวิตวัย
20 ของผมเจิดจรัส เป็นบทที่มีความคล้ายกับจางกึนซอกมากๆ
เพราะฮวางแทคยองได้หมดบทบาทลงแล้ว
จางกึนซอกตัวป่วนจึงคอยๆ หายไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ “You’re My Pet” เขาจึงเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ทุกวัน
“ผู้คนอาจคิดว่าเพราะไม่เห็นผมทางจอทีวี
ผมคงไปเที่ยวเล่นข้างนอกอยู่ทุกวันละมั้ง แต่ความจริงแล้วทุกวันผมจอยู่ในที่ที่พวกคุณไม่เห็นผม
และกำลังเรียนรู้บางอย่างอยู่อย่างจริงจัง และกำลังเพิ่มคุณค่าให้กับตัวผมเองอยู่”
เขาออกจากสตูดิโอไปหลังจากฝากข้อความไว้
เพื่อรีบไปเรียนภาษาอักฤษ
สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
และมุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทของจางกึนซอก เขาให้สัญญาว่า “สำหรับผลงานชิ้นต่อไป
ผมจะให้ทุกคนได้เห็นภาพของผมแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน”
[สัมภาษณ์] จางกึนซอก (Jang Keun Suk) in Japaneae Magazine "Hot Chili Paper"
Cr. Dekde.com
No comments:
Post a Comment