JKS

JKS

2012-09-03

[สัมภาษณ์] จางกึนซอก (Jang Keun Suk) in Japaneae Magazine "Hot Chili Paper"


Q: เริ่มคุยกันตั้งแต่ตอนเด็ก อนที่คุณเล่นเรื่อง "Ladyes of the palace" ดีกว่า

JKS: ตอนนั้นผมอายุ 15 ปีแล้วครับ แต่ผมเป็นดาราตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มถ่ายแบบตั้งแต่ 6 ขวบ

ส่วนเรื่องแรกที่เล่นเป็นละครปี 1997 เรื่อง "Happiness of sale"
Q: ยังพอจำตอนที่ถ่ายทำได้มั้ย

JKS: ใน  "Ladies of the palace" เพราะเป็นวันที่หนาวมาก ผมใส่ชุดฮันบกตอนถ่ายทำแล้วก็หกล้ม ผมยัง จำได้ดีเลยครับ

Q: คุณกลัวมั้ยที่มีแต่ผู้ใหญ่ในกองถ่าย

JKS: กลัวสิครับ ผมร้องไห้เยอะเลย แต่รอบตัวผมมีแต่ผู้คนที่ใจดีกับผมมากๆ แต่เป็นเพราะผมยังเด็ก ผมยังเอาแต่เล่นสนุกแล้วก็ร้องไห้ ผมไม่เคยมีพ่อแม่ไปที่กองถ่ายด้วยเลยสักครั้ง

Q: คุณต้องอยู่ลำพังหรอ?

JKS: แม่ของผมไม่ได้ตามไปที่กองถ่ายด้วย ผมนึกขอบคุณที่แม่ทำแบบนั้น ผมไม่ชอบเลยเวลาที่พวกพ่อแม่ต้องคอยมาเอาอกเอาใจพวกสต๊าฟ '' นี่ลูกของฉัน ช่วยดูแลด้วยนะคะ" แม่อยากให้ผมแข็งแกร่ง แน่นอนที่ตอนนั้นผมร้องไห้ แต่วันนี้ผมก็ผ่านบททดสอบมาได้แล้ว

Q: ในปี 2002 คุณแสดงใน "Ladies in palace" และ "The Great Ambition" ตอนนั้นชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?

JKS: นั่นเป็นตอนที่ผมเริ่มมีผู้จัดการ ผมแสดงในโฆษณาโทรศัพท์มือถือ ผู้คนเริ่มู้จักผมมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปครับ

Q: หลังจากนั้นคุณก็แสดงซิตคอมเรื่อง "Orange"?

JKS: ที่จริง "Orange" ถ่ายทำก่อน "Great Ambition" นะครับ ความทรงจำของผมก็คือมันร้อน เป็นการถ่ายทำช่วงหน้าร้อน มีฉากว่ายน้ำเยอะเลย ตอนถ่ายทำก็สนุกดีครับ เราใชเวลาถ่ายทำทั้งหมด 3 เดือน  ผมไม่มีความทรงจำอะไรกับมันมากนัก นั่นเป็นตอนที่ผมอายุ 16 ปีต่อมาผมก็ไปเรียนต่อต่างประเทศครับ

Q: คุณไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์?

JKS: ใช่ครับ ก่อนจบมัธยมต้น แม่พูดกับผมว่า " ถ้าไม่เรียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เรียนเมื่อไหร่" แต่ตอนนั้นมันยากมากที่ผมจะไปเรียนหนังสือตามปกติ แม่บอกว่า "พอลูกพ้นวัยเรียน ตอนนั้นลูกจะอยากกลับมาเรียนอีก" ผมกับแม่ก็เลยไปนิวซีแลนด์ด้วยกัน

Q: แม่ของคุณคงพูดภาษาอังกฤษได้?

JKS: ไม่เลยครับ แม่กับผมต้องไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน ช่วงแรกเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ชีวิตในต่างประเทศไม่ใช่ง่ายๆ แม่เป็นผู้หญิงที่น่านับถือมากครับ

Q: ชีวิตในนิวซีแลนด์เป็นยังไงบ้าง?

JKS: ผมไม่รู้สึกกลัว ต่อให้ยืนอยู่ต่อหน้าชาวต่างชาติ คนส่วนใหญ่จะกลัว แต่ผมไม่รู้สึกกลัว ผมได้ความมั่นใจมาจากที่นั่นครับ

Q: หลังจากเรียนจบ คุณก็กลับมาแสดงใน "Nonstop 4" เด็กอายุ 17 ที่ต้องมาแสดงเป็นนักศึกษาแพทย์ ได้ยินว่าคุณเป็นคนสร้างบุคลิกของตัวละครนี้ขึ้นมาเอง

JKS: ตอนที่ผมได้พบกับผู้กำกับ มบอกเขาว่า " ผมอยากเล่นเป็นนักศึกษาแพทย์" Nonstop 4" เป็นซิตคอมเรื่องราวต้องดำเนินไปตลอดเวลา แต่ที่สำคัญก็คือต้องทำให้ผู้ชมหัวเราะ

Q: แล้วคุณก็มาแสดงเรื่อง "Lovers in prague" เป็นเด็กมัธยม ซึ่งเป็นลูกชายประธานาธิบดี?

JKS: ผมอยากแสดงภาพที่แตกต่างจาก "Nonstop 4" ที่ผมจำได้ก็คือตอนที่ถ่ายทำเป็นเวลาเดียวกับการประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย (แอดมิชชั่น) ใจผมก็คิดอยู่แต่ว่า ผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ "Lovers in prague" เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายก่อนที่ผมจะอายุ 20 ปีครับ (คนเกาหลีถือว่า อายุครบ 20 ปีเป็นผู้ใหญ่)

Q: เกิดอะไรขึ้นระหว่างถ่ายทำ "Do Re Mi Fa So La Ti Do"?

JKS: บอกตามตรงนะครับ ทั้ง "Do Re Mi Fa So La Ti Do" และ "Baby and I" ไม่ใช่งานที่ผมสมัครใจทำ ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ (หัวเราะ) แต่นั่นคือความจริงครับ

Q: คุณปฏิเสธไปไม่ได้หรอ?

JKS: เพราะทางบริษัท (ตอนนั้น ซอกยังไม่ได้อยู่ในสังกัดบริษัทอื่น ยังไม่ได้เปิดบริษัทเองนะคะ) ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว จึงไม่มีทางบอกยกเลิกได้ครับ ผมไม่ชอบทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบและรู้สึกว่าไม่อยากทำ นั่นเป็นนิสัยของผม ผมไม่ใช่คนเผด็จการหรือว่าเอาแต่ใจ แต่ผมจะต้องมีใจให้กับบทนั้นด้วย ไม่งั้นผมจะไม่แน่ใจเลยว่าผลงานมันจะออกมาดี พอเสร็จงานหนึ่ง พวกเชาก็ส่งงานชิ้นต่อมาให้ผมทำเลยทั้งๆ ที่ผมยังเหนื่อยอยู่  นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกเครียด (เข้าใจเหตุผลที่ซอกเปิดบริษัทตัวเองแล้วใช่มั้ยคะ)

Q: การถ่ายทำเป็นไปด้วยดีมั้ย?

JKS: "Do Re Mi Fa So La Ti Do" มีเหตุเกิดขึ้นตลอดเวลาครับ ถ่ายไปได้สักครึ่งทาง คนที่ลงทุนก็ขอหยุดหนังเลยต้องหยุดถ่ายไปด้วย ผมก็เลยรับเล่น "Hwang Jin Yi" , "Hong Gil Dong" และ "Happy life" แล้วจู่ๆ วันหนึ่งเราก็ได้รับโทรศัพท์บอกว่า "Do Re Mi Fa So La Ti Do" จะถ่ายต่อละนะ ซึ่งมันผ่านมา 2 ปีแล้ว "ไม่ว่ายังไงเราต้องถ่ายต่อให้เสร็จ" คำถามก็คือ "ทำไม" แต่มันเป็นเรื่องปกติในเกาหลีว่าคุณต้องยอมรับมันแล้วก็ถ่ายต่อให้เสร็จ โดยไม่ได้รับคำตอบว่าเพราะอะไร

Q: เรื่องราวมันน่าสนใจมากหรือว่ามความลับอะไรซ่อนอยู่?

JKS:  ดูจากบทแล้ว มันก็ไมได้แย่อะไรมากมาย  แต่ก็เหมือนกับการสร้างบ้านละครับ ต่อให้เตรียมการมาดึแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าบ้านจะออกมาดี ละครหรือ หนังก็ใช้ปรัชญาเดียวกันนั่นแหละครับ ไม่ใช่แค่บทดีอย่างเดียว นักแสดง  ผู้กำกับ  ตากล้อง ทุกอย่างต้องประสานกันเป็นอย่างดี ผลงานถึงจะออกมาดี ผมคิดว่า ผมต้องปกป้องตัวเองให้ดี (เรียกว่าเอาตัวรอดว่างั้นเถอะ) ไม่ว่าผมจะไม่เต็มใจทำงานนี้แค่ไหน แต่ผมก็ต้องแสดงให้เต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้วชื่อของผมต้องไปปรากฏอยู่บนนั้น พอคิดแบบนี้แล้ ผมพบว่ามันน่าสมเพชนะ

Q: เรื่องต่อไปก็คือ "One missed call'' งานนี้คุณได้พิจารณาบทก่อนรับงานหรือเปล่า?

JKS: AHH HAHA! ตอนนั้นผมอายุ 19 เกือบจะ 20 แล้ว ผมได้รับโทรศัพท์ชวนให้ไปออดิชั่น ตอนนั้นผมไม่ได้รับงานอะไรไว้ จึงเป็นงานที่ผมรับไว้เพราะมีโอกาสไปออดิชั่น

Q: ตอนนี้คุณยังคิดติดต่อกับ มากิ โฮริคิตะ และ เมอิสะ  คุโรก อยู่มั้ย?

JKS: เปล่าครับ  เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ที่จริงผมไม่ใช่คนประเภทที่ชอบแลกเบอร์โทรกับดาราที่ร่วมงานด้วย ทำแบบนั้นจะทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกันเกินไป ต่อให้ไม่ต้องแลกเบอร์โทร ดาราก็ยังสามารถแสดงด้วยกันได้ดี และยังให้เกียรติซึ่งกันและกันด้วย ถ้าหากมีการไปดื่มกินกันเป็นส่วนตัว มันจะทำให้ผมไม่อาจรักษาระยะห่างไว้ได้ ผมจึงไม่ค่อยมีเพื่อนดาราที่เป็นผู้หญิงมากนัก อ๊ะ.....นอกจากคิมฮ๊ชอลครับ (หัวเราะ)


Q: มากิ โฮริคิตะ และเมอิสะ คุโรกิ ดังมากเลยนะในตอนนี้

JKS: งานนี้ก็เหมือน "Do Re Mi Fa So La Ti Do" สำหรับผมครับ (หัวเราะ)

Q: มีความเป็นไปได้มั้ยที่คุณจะทำงานในญี่ปุ่นในอนาคต?

JKS: แน่นอนครับ ผมจะไม่ปฎิเสธแน่นอน สิ่งสำคัญเวลาเลือกงานก็คือบทครับ และสิ่งที่สำคัญพอๆ กับบทก็คือ ความรู้สึก "ฉันอยากเล่นบทนี้" หากผมถูกใจงานชิ้นนั้นต่อให้เป็นคอเมดี้ ผมจะรับเล่นทันทีครับ ผมก็ได้ยินมาว่า ผมเป็นแบบที่คนญี่ปุ่นชอบ ถ้างั้นทำไมผมจะเป็น เบยงจุน ไม่ได้ละครับ (หัวเราะอีกแล้ว)

Q: เบยงจุน คือ เป้าหมายของคุณงั้นหรือ? พวกคุณคนละสไตล์เลยนะ

JKS: เปล่าครับ ผมไม่ได้อยากเป็นเบยงจุน เอ่อ....ผมพูดแบบนี้มันจะฟังแปลกๆ ไปหน่อยมั้ย ผมยอมรับนะครับว่า เบยงจุนน่ะดีจริง ผมแค่อยากให้แฟนๆ ยอมารับผมที่ความสามารถของผมมากกว่าครับ

Q: เมื่อเปรียบเทียบกับดาราเกาหลีคนอื่นแล้ว รูปร่างของกึนซอกถือว่าบอบบาง เคยคิดจะเสริมกล้ามบ้างมั้ย?

JKS: แบบนี้ผมจะสามารถสวมเสื้อผ้าแฟชั่นแบบที่ผมชอบได้ สำหรับรูปร่างแล้ว นักแสดงแต่ละคนก็มีแนวทางของตัวเองแตกต่างกันไป สำหรับผมไม่เคยคิดจะเสริมกล้าม เพราะผมไม่ชอบออกกำลังกาย

เพราะเตรียมตัวถ่ายทำหนัง "You are my pet" และเพื่อให้กับบทบาท ผมจึงต้องเริ่มออกกำลังกายบ้าง เน้นที่การเต้นบัลเล่ต์เป็นหลัก แล้วก็มีจ๊อกกิ้ง  ปั่นจักรยาน ผมไม่กลัวหรอกนะครับที่จะมีกล้าม!

ในที่สุดจางกึนซอก ก็เจองานที่ถูกใจในปี 2006 "Hwang Jin Yi" ในละครเขาแสดงเป็น คิมอึนโฮ รักแรกของ ฮวางจินยี่ ที่ฮาจีวอนแสดง ทั้งสองคนรักกันแต่ด้วยฐานะที่แตกต่างกันทำให้ต้องจบด้วยโศกนาฎกรรม ในตอนนั้นชาวเน็ตต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป บ้างก็เป็นห่วงเรื่องช่องว่างระหว่างวัย ของฮาจีวอนกับเขา มีเสียงวิจารณ์เรื่องฝีมือการแสดงของเขาว่าอาจมีไม่มากพอ

Q: คุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อบทของคุณ?

JKS: สำหรับผมแล้ว "นี่ไม่ใช่กำแพงที่กั้นขวางไม่ให้ผมข้ามไป" "ทำไมถึงเอาจางกึนซอกมาประกบคู่กับฮาจีวอน?"  สำหรับความคิดนี้ของคนอื่น ผมคิดว่า "อยากพูดอะไรก็เชิญ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเองว่าคุณคิดผิด ผมจะทำให้พวกคุณเห็นเอง!"
เมื่อเปรียบเทียบกับตอนนี้ ตอนนั้นผมยังเด็กแล้วก็บ้า แต่เป็นเพราะความมุ่งมั้นนี้ ผมจึงตั้งใจกับบทอึนโฮเป็นพิเศษ

Q: คุณเข้าถึงจิตใจของอึนโฮได้อย่างไร?

JKS: ที่จริงตอนนั้นผมเพิ่งเลิกกับแฟนซึ่งเป็นคนที่ผมรักมาก  คนที่ขอเลิกคือเธอ และผมไม่เคยคิดอยากเลิกกับเธอจึงเฝ้าแต่ขอโทษเธอ แต่เธอก็ยังขอเลิกทั้งๆ ที่ผมทำทุกอย่างแล้ว  ผมไปหาเธอที่บ้าน  ไปรอเธอ แต่ได้เพียงคำพูดที่ว่า "อย่ารอฉันเลย" กลับมา ผมเขียนจดหมายไปหาเธอทุกวัน เธอตอบมาแค่เพียงว่า " เราหยุดแค่นี้เถอะ" สาเหตุก็คือ ผมบังเอิญพลั้งปากท้าเลิกกับเธอไปตอนที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพราะผมดื้อรั้นเกินไป ผมเฝ้าแต่คิดว่าขอให้ผมแต่ได้อยุ่กับเธอ  ผมรักเธอมาก ผมอยู่โดยขาดเธอไม่ได้ แต่เธอก็ยังทิ้งผมไป  ผมเจ็บมากจนออกไปไหนมาไหนไม่ได้เป็นเดือน  กินอะไรก็ไม่ลง  เอาแต่หมกตัวอยู่ที่บ้าน  หมดแรงจูงใจ  หมดกำลังใจที่จะทำอะไรทั้งนั้น  น้ำหนักผมลดลงไปเยอะเลย ผมผอมมากๆ ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มากๆ แล้วผมก็ได้รับบทเรื่อง "ฮวางจินยี่"

Q: คุณยังเจ็บอยู่มั้ยเมื่อนึกถึงเธอระหว่างที่ถ่ายทำ?

JKS: ตอนที่ผมแสดงเป็น อึนโฮ ผมไม่เป็นครับ แต่เมื่อผมกลายเป็นอึนโฮ ความรู้สึกนั้นก็กลับมา ตอนนั้นเป็นเพราะใจของผมเจ็บผมถึงร้องไห้ออกมาได้ ผมพยายามอ่านบทอยู่ในรถ แต่จบลงด้วยการร้องไห้ออกมา  บางครั้งผมก็เห็นใบหน้าของพี่จีวอนเป็นเธอ ผมยังอยากทำอะไรให้เธออีกมากแต่ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว (เป็นความรู้สึกเดียวกับ อึนโฮก่อนตาย) นี่ทำให้ความรู้สึกของผมกับ อึนโฮเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่แค่ตอนแสดงเท่านั้นนะครับ แม้แต่ตอนที่ผมกลับมาเป็นตัวเอง ผมก็ยังรู้สึกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกนั่นอยู่อีกพักใหญ่ๆ

Q: ถึงจะเจ็บปวดแต่ก็ต้องแสดง.....

JKS: มันทรมานมากเลยครับ แต่ความเจ็บปวดนั้นช่วยให้ผมแสดงได้ดีขึ้น

Q: ฉากขอแต่งงานนั่นโรแมนติคมาก คุณก็เป็นคนโรแมนติคด้วยรึเปล่า?

JKS: ที่จริงผมเองเป็นคนที่ชอบสร้างบรรยากาศโรแมนติค ผมจะเล่าให้ฟัง ผมเคยปล่อยลูกโป่งให้ลอยขึ้นในอากาศ ตอนที่เปิดท้ายรถออก โดยมีป้ายผู้ติดไว้ซึ่งเขียนไว้ว่า "ผมรักคุณ"  ผมเคยเขียนจดหมายเป็นไดอารี่ตลอด 3 เดือนแล้วก็ส่งเป็นของขวัญวันครบรอบให้กับเธอ แต่ที่โรแมนติคที่สุดที่ผมเคยทำก็คือเช่าลีมูซีนในวันครบรอบของเรา แล้วก็พาเธอนั่งชมเมืองไปรอบๆ

Q: ลีมูซีน? มันแพงมากเลยนะ

JKS: มันไม่แพงอย่างที่คิดหรอกครับ (คือมีคนแปลอีกเวอร์ชั่นออกมาว่า 2 แสน เลยคิดว่าน่าจะสมเหตุสมผลกว่า 20 ล้านมันน่าตกใจไปหน่อย) ผมต้องจ่ายไป 2 แสนวอน ไม่ใช่แค่ค่าเช่ารถนะครับ แต่ค่าจ้างคนขับด้วย หลังจากเช่ารถมา 2 ชั่วโมง เราก็ไปที่แม่น้ำฮันแล้วก็ดื่มไวน์แดงในรถด้วยกัน

Q: คุณชอบเห็นตัวเองเป็นคนโรแมนติคแบบนี้มั้ย หรือว่าชอบที่ได้เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

JKS: เอ่อ  ผมชอบตัวเองเวลาที่ได้วางแผนทำอะไรที่แปลกๆ ออกไป  เพราะทำเพื่อแฟนของผม ผมจึงทุ่มเทเต็มที่และภูมิใจกับมัน นอกจากนั้นผมว่ามันเจ๋งมากที่เราได้ทำอะไรเพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าผมชอบ เธอจริงๆไม่ใช่พูดแต่ว่า "ผมรักคุณ" เท่านั้น

Q: ยังมีอย่างอื่นที่คุณอยากลองทำอีกมั้ย

JKS: เพราะผมเป็นนักแสดง แล้วผมก็ชอบตัดต่อวีดีโอเองมากๆ ผมอยากจะเหมาโรงหนังแล้วก็เล่นวีดีโอที่ผมตัดต่อเองให้เราดูด้วยกัน นั่งกินป๊อปคอร์นกันระหว่างที่ดูวีดีโอ ต้องน่าตื่นเต้นมากแน่ๆ แต่การทำแบบนั้นต้องใช้เงินเยอะแน่ๆ เอ่อ....ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นครับ (หัวเราะ)

Q: พอมองย้อนกลับไป "Hwang Jin Yi" มีผลอย่างไรต่อจางกึนซอกบ้าง

JKS: "Hwang Jin Yi" เป็นก้าวแรกของผมสู่ความเป็นนักแสดงที่แท้จริง ผมฝันอยากเป็นนักแสดง และหลังจากแสดงเรื่องนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจว่านักแสดงจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง เพราะผมมีประสบการณ์ความรักด้วยตัวเอง "Hwang Jin Yi" จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนอื่นแต่เป็นเรื่องราวของผมจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้ประสบการณ์จริงในการแสดง จากนั้นมามุมมองของผมในเรื่องต่างๆ ก็เปลี่ยนไป จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่ว่าผมจะไปไหนจะมีผู้จัดการไปด้วยเสมอ พอผมบ่นว่าหิว ก็จะมีคนเตรียมอาหารมาให้ผม ตอนนี้ผมอยากทำอะไรด้วยตัวเอง

เพราะว่าผมเป็นคนที่ใช้ ชีวิตอย่างสุขสบาย (มีคนทำโน่นทำนี่ให้ตลอดเวลา) ผมจะมีหน้าไปพูดถึงฝีมือการแสดงได้ยังไง ถ้าผมไม่เคยใช้ประสบการณ์จริงในการแสดงเลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการแค่อ่านตามบที่เขาเขียนให้

เมื่อเร็วๆ นี้ผมจัดงานที่มหาวิทยาลัยฮันยาง Lounge H ผมติดต่อสปอนเซอร์ด้วยตัวเอง ผมเขียนโครงการเพื่อนำเสนอขออนุมัติด้วยตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานผมทำด้วยตัวเองทั้งหมด การได้ทำแบบนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ผู้จัดการที่คอยใช้ชีวิตแทนผม ไม่ใช่พ่อแม่ที่คอยปิดม่านแล้วซ่อนผมไว้ตรงไหนสักแห่ง แต่เป็นตัวผมเองที่ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง และได้รับประสบการณ์จากตรงนั้น และเอาชนะความท้าทายใหม่ๆ ด้วยตัวเอง นี่จะช่วยผมได้ในอนาคตในวงการบันเทิง

Q: คุณได้รับประสบการณ์สำคัญจาก "Hwang Jin Yi"

JKS: ใช่ครับ ผมได้เข้าใจว่ามันสำคัญแค่ไหนที่จะต้องมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ผมจุงไม่ค่อยชอบผู้จัดการนัก เพราะพวกเค้าคอยทำอะไรต่างๆ แทนผม ผมอยากทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง ยกเว้นการสัมภาษณ์วันนี้นะครับ

Q: หนังเรื่อง "Happy life" ซึ่งต่อจาก "Hwang Jin Yi" ก็ทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรมากมาย เท่าที่จำได้คุณเคยพูดว่า "นี่เป็นจุดพลิกผันในชีวิตของผม"

JKS: ตอนที่ผม่ถ่ายทำ "Hwang Jin Yi" ผมรู้สึกและคิดว่า "ผู้จัดการจะมาใช้ชีวิตแทนผมไม่ได้" บรรดารุ่นพี่ที่แสดงในหนังเรื่องนี้ก็รู้เช่นกัน การได้เห็นพวกเราเดินออกมาจากบ้าน นั่งลงหน้าร้านสะดวกซื้อ แล้วก็พูดคุยกันจนถึงตี 4  ทำให้ผมคิดว่า " ผมก็อย่ากมีชีวิตแบบนั้นบ้าง" แต่ถ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่แฟนๆ และคนรอบตัวผมต้องการ ผมก็คงไม่ต่างอะไรกับนกน้อยในกรองทอง ซึ่งผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ผมอยากเป็นนกที่สามารถบินออกจากกรงไปไหนๆ ได้ ไม่ใช่ถูกกักขังไว้ข้างใน

Q: ในเรื่อง “Hong Gil Dong” คุณแสดงเป็นคนที่สะสมความแค้น ลีชางฮวี คุณเคยพูดว่า มันเป็นช่วงเวลาของไอดอล(หัวเราะ)

JKS: เพราะไม่ใช่แค่ถ่ายเรื่อง “Baby and I” ผมยังมีงานโฆษณาอีก 7 ชิ้นมันเหนื่อยมากๆ ครับแต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมก็ต้อแสดงเป็นชางฮวี

Q: คุณรู้สึกยังไงบ้างตอนรับบทชางฮวี?

JKS: อารมณ์ของละครคือความโกรธเกรี้ยว แต่ก็น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตัวผมที่แสดงเป็นชวางฮวีที่รู้สึกว่าบทนี้ช่างน่ากลัว แต่บรรยากาศของละครทั้งเรื่องดูน่ากลัว จากที่ผมได้พูดคุยกับพี่จีฮวานและนักแสดงคนอื่นๆ เรารู้สึกแบบเดียวกัน แค่ตอนถ่ายทำก็สาหัสไม่รู้จบแล้วครับ การถ่ายทาส่วนใหญ่อยู่แถวภูเขาซึ่งหนาวมากๆ ความรู้สึกของผมกับความหนาวก็คือผมเกลียดมันมาก แถมเราต้องออกจากโซลแล้วก็กลับไปกลับมาแบบนี้ทุก 2 สัปดาห์ พอตารางงานเริ่มกระชั้น คุณต้องรีบกลับไปที่กองถ่ายหลังจากกลับบ้านมาอาบน้ำอาบท่า ถ้าขืนใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอารมณ์จะยิ่งมีแต่ย่ำแย่ลง ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะครับ สต๊าฟคนอื่นๆ กับนักแสดงก็เริ่มจะทนไม่ไหวกันทุกคนบรรยากาศก็เลยยิ่งแย่ ผมถ่ายทำเรื่องนี้จนจบในสภาพแบบนั้นละครับ

Q: ต่อไปก็คือ “Beethoven Virus”

JKS: หลังจาก “Hong Gil Dong” กับ “Baby and I” ผมก็ไปพักผ่อนที่ยุโรปราวๆ 2 เดือนก่อนไปผมบอกกับผู้จัดการว่า ถ้าขืนส่งบทให้ผมระหว่างที่ผมพักผ่อน ผมจะฉีกทิ้งแล้วเผาไม่ให้เหลือซากผมไม่อยากคุยเรื่องงานในตอนนั้น อย่างที่ผมบอกไปแหละครับ ตารางงานมันแน่นมากๆ ร่างกายผมก็เริ่มหมดแรงลงทุกที เหนื่อยทั้งกายและใจเลย ผมไม่รู้ว่าจะกลับมาเกาหลีอีกมั้ย อย่ามาสนใจผมเลยจะดีกว่าผมจำได้ว่าพูดแบบนั้นออกไป.....(โหมดงอแง)
แต่ผู้จัดการของผมก็ยังส่งบทไปให้ผมทางอีเมลล์ (เออ.....มันฉีกไม่ได้....ฮ่า ฮ่า) ตอนนั้นผมพักผ่อนนอนอยู่ที่เยอรมันผมคิดแล้วคิดอีกว่าจะเปิดดูก่อนลบทิ้งดีมั้ย บางทีนี่อาจเป็นเวลาที่ผมจะตัดสินใจว่าควรรับงานดีมั้ยผมก็เลยเปิดอีเมลล์ดูแล้วก็อ่านบทโดยไม่ได้ลบมันทิ้ง พออ่านได้แค่ 2 ตอนผมก็ตกหลุมรักมันทันที ผมจึงโทรไปที่บริษัทแล้วบอกว่า ผมจะเล่นบทนี้

Q: ส่วนไหนที่โดนใจคุณ

JKS: เพลงในเรื่องบรรเลงโดยวงออเคสตร้า งานศิลปะชิ้นนี้เป็นผลงานของลีแจคยู แล้วยังมีรุ่นพี่คิมมยองมินเล่นด้วย ผมรู้ว่าจะได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะจากรุ่นพี่ แถมยังมีรุ่นพี่ลีซุนแจด้วย งานนี้สำคัญสำหรับผมมาก

Q: คุณมีความประทับใจอะไรบ้างกับคุณคิมมยองมิน

JKS: เขาเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบแต่ไม่ได้หัรั้นขนาดคังกึนวูนะครับ (ตัวละครที่คิมมยองมินเล่นในเรื่อง) ผมเป็นคนสุดท้ายที่ยืนยันการเข้าร่วมแสดงเรื่องนี้ เพราะไม่อยากทำให้รุ่นพี่ผิดหวัง ผมจึงพยายามเต็มที่  หากผมไม่หัดเล่นทรัมเป็ต คงต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ งานนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างที่ถ่ายทำ ระหว่างถ่ายทำแม้จะแทบไม่มีเวลานอน แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าทนไม่ได้แต่อย่างใด ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะครับ ทุกคนก็มีความสุขระหว่างถ่ายทำเรื่องนี้ ซึ่งผมพบว่ามันแปลกมากๆ

Q: ทุกคนดูเข้ากันได้ดีมาก

JKS: บางทีอาจเป็นเพราะเราใช้ดนตรีเป้นธีมของเรื่อง ระหว่างที่แสดงเราอยู่กัดนตรีและผูกพันกัน ตัวโน้ตที่แตกต่างกันค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้จะเป็นแค่การถ่ายทำละคร แต่พองานนี้จบลง ทุกคนต่างประทับใจและลาจากกันด้วยน้ำตา

Q: ไม่เสียใจนะที่ปฏิเสธ “Boys Over Flower” เพื่อเล่นเรื่อง “Beethoven Virus”

JKS: ผมคิดว่าเลือกถูกแล้วครับ สิ่งที่ผมจะได้จาก “Boys Over Flower” ผมก็ได้จาก “You’re Beautiful” นี่ไงครับ


Q: บทของ “You’re Beautiful” เขียนโดยพี่น้องฮงจาก “Hong Gil Dong” ?

JKS: ผมได้ยินมาว่าพวกเธอเขียนบทระหว่างที่นึกถึงผม หลังจากอ่านบทแล้ว ถึงแม้จะเป็นแค่บทร่าง แต่ใจของผมเห็นภาพของมันชัดเจนเลย ผมคิดว่าผมสามารถนำเสนอภาพความน่ารักสดใสในวัย 23 ของผมผ่านละครเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ผมจึงตกลงเล่นทันที แต่ละครเรื่องนี้ก็เจอปัญหาเยอะครับ ระหว่าที่ถ่ายทำ เราเปลี่ยนบริษัทที่สร้างหลายหนเลย ผู้กำกับทั้ง 2 คนก็เป็นห่วงว่า ถ้าเกิดกึนซอกขอถอนตัวอีกคนล่ะผมบอกไปว่า ไม่มีปัญหาครับ หลังจากอ่านบทแล้ ผมวิเคราะห์ตัวละครนี้ด้วยตัวเอง ติดต่อผมมาได้เลยหากได้วันที่ถ่ายทำแน่นอนแล้ว สุดท้ายเราก็ได้เริ่มถ่ายทำในเดือน ส.ค.

Q: หลายคนพูดว่าฮวางแทคยองมีความคล้ายกับคังกึนวูที่คิมมยองมินแสดงไว้ใน “Beethoven Virus”

JKS: หลังจากได้ยินแบบนี้ ผมคงโกหกละครับหากบอกว่าผมไม่กดดันเลย เพราะแทคยองเป็นคนที่ยึดตัวเองใหญ่ แต่ผมไม่เคยใช้คังกึนวูเป็นต้นแบบเลยนะ ผมใช้บรรณาธิการใน “The Devil wears prada” มิแรนด้า (แสดงโดย เมอรีล สตรีฟ) เป็นต้นแบบครับ

Q: คุณดู “You’re BBeautiful” จบหรือยัง?

JKS: ครับ วันที่ผมได้ DVD มาผมได้ยืนยันทางโทรศัพท์ไปว่าไม่มีส่วนไหนที่ผมรู้สึกว่าควรเสียใจ เป็นเพราะคิวที่เร่งมากๆ ทำให้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง พอเราถ่ายทำเสร็จในช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็ยังมีรอถ่ายทำต่อ แต่บทยังไม่มาถึงมือเลย ทั้งนักแสดงและสต๊าฟต้องเตรียมตัวให้พร้อมรอบทที่จะมาถึง

Q: คิดว่ายังไงบ้างที่ต้องออกอากาศพร้อม “Iris”?

JKS: ผมไม่รู้สึกว่าพลาดอะไรไปเพราะออกอากาศพร้อมกันครับ เพราะผมกลับมาดู “Iris” ที่หลังได้ ผมจึงไม่รู้สึกว่าต้องต่อสู้ช่วงชิงอะไร

Q: นิสัยของคุณเหมือนแทคยองมั้ย?

JKS: อืม.......ผมจะพูดยังไงดี  เวลาผมทำงาน ผมจะทนรับความผิดพลาดไม่ค่อยได้ และผมก็เป็นคนเรื่องมากจริงๆ ด้วย แต่หลังจากเสร็จงานแล้ว ผมจะขอบคุณผู้จัดการและสต๊าฟสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำ ผมอาจไม่ถึงกับต้องการให้ทุกอย่างที่ต้องการสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ผมจึงดึงดันจนถึงที่สุดพอผมเริ่มทำงานใหม่อีกครั้ง ผมก็จะเป็นแบบนั้นอีก นั่นคือนิสัยของผมครับ

Q: สรุปแล้วฮวางแทคยองคืออะไรสำหรับคุณ?

JKS: คนที่ทำให้ชีวิตวัย 20 ของผมเจิดจรัส เป็นบทที่มีความคล้ายกับจางกึนซอกมากๆ
เพราะฮวางแทคยองได้หมดบทบาทลงแล้ว จางกึนซอกตัวป่วนจึงคอยๆ หายไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ “You’re My Pet” เขาจึงเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ทุกวัน
ผู้คนอาจคิดว่าเพราะไม่เห็นผมทางจอทีวี ผมคงไปเที่ยวเล่นข้างนอกอยู่ทุกวันละมั้ง แต่ความจริงแล้วทุกวันผมจอยู่ในที่ที่พวกคุณไม่เห็นผม และกำลังเรียนรู้บางอย่างอยู่อย่างจริงจัง และกำลังเพิ่มคุณค่าให้กับตัวผมเองอยู่

เขาออกจากสตูดิโอไปหลังจากฝากข้อความไว้ เพื่อรีบไปเรียนภาษาอักฤษ
สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และมุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทของจางกึนซอก เขาให้สัญญาว่า สำหรับผลงานชิ้นต่อไป ผมจะให้ทุกคนได้เห็นภาพของผมแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

[สัมภาษณ์] จางกึนซอก (Jang Keun Suk) in Japaneae Magazine "Hot Chili Paper"
Cr. Dekde.com












No comments:

Post a Comment